แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านภาค 1 และ 2

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านภาค 1 และ 2
ถล่มแผง SE-ED ทั้งประเทศ (ถ้าอ่านแล้วชอบ ฝากบอกต่อด้วยนะครับ..หุ หุ)”

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้ค้าตราสารอนุพันธ์


ผู้ค้าในตลาดตราสารอนุพันธ์นอกจากจะมี ผู้ที่ใช้ตราสารอนุพันธ์ในการป้องกันความเสี่ยงแล้วนั้น ผู้ค้าตราสารอนุพันธ์ยังคงมีกลุ่มคนอีก 2 กลุ่ม ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่าผู้ป้องกันความเสี่ยง (Hedger) คือ นักเก็งกำไร (Speculator) และ นักค้ากำไร (Arbitrageurs)

นักเก็งกำไร (Speculator) เป็นผู้ที่เข้ามาซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดอนุพันธ์ทุกประเภท ด้วยเหตุผลของการลงทุนที่จะเข้ามาเพื่อการเก็งกำไรจากการซื้อและขายเป็นหลัก นักเก็งกำไรต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา ทั้งในกรณีที่ราคาขึ้น หรือราคาลดลง ซึ่งการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ทุกประเภท นักเก็งกำไรจะสามารถทำกำไรได้ในทั้งกรณีที่ราคาของตราสารอนุพันธ์ หรือสินทรัพย์ที่อ้างอิงมีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพราะตราสารอนุพันธ์จะมีลักษณะที่มีความแตกต่างจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ประเภทหุ้นสามัญ หรือพันธบัตร จึงสามารถทำกำไรได้จากทั้งกรณีที่มีราคาเพิ่มขึ้น หรือราคาลดลง

นักเก็งกำไร เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในตลาดตราสารอนุพันธ์เป็นอย่างมาก เพราะนักเก็งกำไรจะเป็นผู้ที่ช่วยให้ตลาดอนุพันธ์ทุกประเภทมีสภาพคล่อง หากตลาดอนุพันธ์ขาดนักเก็งกำไร หรือมีจำนวนนักเก็งกำไรไมมากพอ จะทำให้ตราสารอนุพันธ์ที่มีการซื้อขายขาดสภาพคล่อง และที่สำคัญคือ ราคาของตราสารอนุพันธ์จะมีราคาที่แพง เปรียบเสมือนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หากตลาดหลักทรัพย์มีแต่นักลงทุน ไม่มีนักเก็งกำไรแล้ว ตลาดหลักทรัพย์คงไม่มีการเคลื่อนไหวของราคาเช่นกัน เพราะนักลงทุนจะเป็นผู้ที่ลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง เป็นผู้ลงทุนที่หวังผลตอบแทนในรูปเงินปันผล และลงทุนในระยะเวลาที่ยาวนาน แต่นักเก็งกำไร จะเป็นผู้ที่เข้ามามีบทบาทในตลาดอย่างฉาบฉวย หวังผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคา เป็นสำคัญ โดยมากนักเก็งกำไร จะเป็นผู้ที่ลงทุนในระยะสั้น ตลาดอนุพันธ์ หรือตลาดหลักทรัพย์ใดมีนักเก็งกำไรจำนวนน้อย ก็จะส่งผลให้การเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปได้ช้า

คนกลุ่มสุดท้ายที่เข้ามามีบทบาทในตลาดอนุพันธ์ คือ นักค้ากำไร (Arbitrageurs) เป็นผู้ที่แสวงหารายได้จากการลงทุนในตลาดสองตลาดพร้อม ๆ กัน เพื่อรับส่วนแตกต่างระหว่างตลาด หรือในบางครั้งอาจเลือกลงทุนในตลาดเดียวกัน แต่ลงทุนในตราสารอนุพันธ์คนละชนิดกัน เพื่อหากำไร นักค้ากำไร จะเป็นผู้ที่ทำให้ช่วงห่างของราคาในตลาดที่อยู่ในภูมิภาคที่แตกต่างกัน กลับมาอยู่ในจุดสมดุล

จะเห็นได้ว่าบุคคลทั้ง 3 กลุ่ม เป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อตลาดตราสารอนุพันธ์เป็นอย่างมาก หากขาดคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปแล้ว ตลาดอาจไม่เกิดสมดุลอย่างที่ควรจะเป็น

(อ้างอิงจาก WIKIPEDIA)

การซื้อขายตราสารอนุพันธ์


กลไกการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ เป็นการทำสัญญาเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าอ้างอิงในอนาคต ซึ่งมีความแตกต่างจากการซื้อสินค้าหรือบริการโดยทั่วไป ซึ่งมีการซื้อขายที่มีการชำระเงินและส่งมอบสินค้าและบริการทันทีโดยการซื้อ ขายนั้นต้องผ่านระบบตลาดอนุพันธ์

การซื้อขายตราสารอนุพันธ์โดยผ่านระบบตลาดอนุพันธ์นั้นสามารถแบ่งตลาดที่ว่า ออกได้เป็น 2 รูปแบบคือ รูปแบบที่หนึ่ง การซื้อขายผ่านระบบตลาดที่มีระเบียบ (Organized Exchange) ซึ่งการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในระบบตลาดที่มีระเบียบ นั้นจะมีกรรมวิธีการซื้อขายคล้ายกับการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ คือ ตลาดแบบมีระเบียบเป็นตลาดที่มีการซื้อและขายหลักทรัพย์หรือตราสารอนุพันธ์ อย่างเปิดเผย มีการกำหนดราคา และช่วงของการขึ้นลงราคาอย่างชัดเจน ข้อมูลข่าวสารของผู้ลงทุนจะได้รับอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน มีการเปิดเผยราคาหลักทรัพย์และราคาอนุพันธ์ให้ประชาชนผู้ลงทุนทราบ เช่น การถ่ายทอดสดราคาของหลักทรัพย์หรือตราสารอนุพันธ์ทางสถานีโทรทัศน์ หรือบนอินเทอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งการตีพิมพ์ราคาของหลักทรัพย์หรือตราสารอนุพันธ์ใน หนังสือพิมพ์ เป็นต้น และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ผ่านระบบของตลาดอนุพันธ์ที่มีระเบียบ ผู้ลงทุนทั้งฝ่ายซื้อและฝ่ายขายจะต้องถูกเรียกเงินประกัน

การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในระบบตลาดแบบมีระเบียบ จะมีการการซื้อขายแบบ Electronic หรือ Open Outcry ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าตลาดจะเปิดให้มีการซื้อขายแบบใด แต่ส่วนใหญ่แล้วตลาดอนุพันธ์จะนิยมใช้ระบบ Open Outcry เป็นระบบในการต่อรองราคาซื้อขายตราสารอนุพันธ์ โดยที่ระบบนี้จะเป็นการเปิดให้ Broker และ ผู้ค้าตราสารอนุพันธ์รายใหญ่ สามารถเข้ามาทำการซื้อและขายตราสารอนุพันธ์ ซึ่งสามารถทำการซื้อขายใน Floor ได้ การซื้อการขายจะกระทำที่ Pitch ของสินค้าประเภทต่าง ๆ โดยมีการส่งสัญญาณมือเป็นการต่อรองราคา ทั้งนี้ในตลาดจะมีระบบทำการบันทึกภาพวีดีโอ เพื่อเป็นหลักฐานในการตกลงในสัญญาต่าง ๆ และเมื่อทำการซื้อขายเสร็จสิ้นจึงจะมีการจดทะเบียนยอดซื้อขายกัน การซื้อขายในระบบ Open Outcry นี้มีโอกาสในการผิดพลาดได้ง่ายกว่าระบบ Electronic มาก

รูปแบบที่สอง การซื้อขายผ่านตลาดต่อรอง (Dealer หรือ Over-The-Counter: OTC) เป็นการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่เราสามารถเรียกได้ว่าเป็นระบบนอกตลาด คือ เป็นการซื้อขายตราสารอนุพันธ์โดยการตกลงกันเองระหว่าง ผู้ลงทุน โดยที่การซื้อขายตราสารอนุพันธ์นั้นจะทำการชำระราคาและส่งมอบกันนอกระบบตลาด คือ ไม่มีการซื้อขายผ่านตลาดแบบมีระเบียบ แต่ในต่างประเทศการซื้อขายในระบบ OTC นี้ เป็นการซื้อขายที่มีนักลงทุน และนักเก็งกำไรทำการซื้อขายมากที่สุด เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมมาก

นอกจากนี้ระบบของตลาดแบบมีระเบียบนั้น มีความแตกต่างจากตลาด OTC คือ การซื้อและขายสัญญาล่วงหน้าต่าง ๆ นั้นจะต้องมีการเรียกเงินประกัน เพื่อเป้นการป้องกันไม่ให้นักลงทุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดความเสี่ยง เพราะหากไม่มีการเรียกเก็บเงินประกันแล้ว หากนักลงทุนฝ่ายใดเกิดการขาดทุน นักลงทุนฝ่ายนั้นอาจไม่มาชำระราคา หรือไม่มาส่งมอบสินทรัพย์ตามที่ตกลงกันไว้

ความแตกต่างของการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดแบบมีระเบียบ (Organized Exchange) และตลาดต่อรอง (Over-the-Counter Market) นั้นมีความแตกต่างกันอยู่หลายประการ เช่น ลักษณะของสัญญา ความเป็นมาตรฐาน การวางเงินประกัน สภาพคล่องของการซื้อขาย ความเสี่ยงจากการลงทุน และการส่งมอบและชำระราคา เป็นต้น

ตลาดแบบมีระเบียบ (Organized Exchange) เป็นตลาดที่มีสถานที่การทำการซื้อขายแน่นอน มีกระบวนการในการดำเนินงานเป็นไปตามกฎหมาย มีพระราชบัญญัติรองรับในการเปิดดำเนินงาน มีเวลาเปิดเวลาปิดแน่นอน ราคาซื้อขายมีการเสนอซื้อหรือขายอย่างเป็นระบบ มีช่วงห่างของการขึ้นหรือลงของราคา มีการประกาศราคาและข้อมูลในการลงทุนให้ผู้ลงทุนทราบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการประกาศผ่านระบบอินเทอร์เน็ต สถานีโทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์

ตลาดต่อรอง (Over-the-Counter Market) หรือ ตลาด OTC เป็นตลาดที่ไม่มีการซื้อขายกันอย่างเป็นระบบ การเจรจาซื้อขายเป็นการต่อรองกันเอง ซึ่งจำนวนสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ตกลงกันในสัญญาจะมีขนาดที่ไม่เท่าเทียม กัน แต่ตลาด OTC เป็นตลาดที่มีความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่งขนาดของตลาด OTC ในหลายประเทศจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าตลาดแบบมีระเบียบ และมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเจริญเติบโตสูงมากขึ้น

การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดแบบมีระเบียบจะแตกต่างจากตลาดต่อรอง ในรูปแบบของสัญญาที่เป็นมาตรฐาน คือ สัญญาที่จะสามารถนำไปซื้อขายกันในตลาดแบบมีระเบียบได้ จะต้องเป็นสัญญาที่มีมาตรฐานเดียวกัน เช่น ขนาดของสัญญาต้องมีขนาดเท่ากัน วิธีการส่งมอบต้องเหมือนกัน คุณภาพของสินค้าหรือสินทรัพย์ที่กำหนดในสัญญาต้องมีคุณภาพเดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายมีความเข้าใจกันว่าตนเองนั้นกำลังซื้อหรือขายสัญญา ประเภทใด การทำให้สัญญาเป็นมาตรฐานเดียวกันนี้ จะทำให้สัญญาที่ซื้อขายในตลาดแบบมีระเบียบสามารถซื้อขายได้สะดวกมากขึ้น เพราะจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายจะมีมาก หากสัญญามีความแตกต่างกันมาก การซื้อและการขายจะไม่คล่องตัว เนื่องจากผู้ลงทุนอาจต้องการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในจำนวนที่ไม่เท่ากัน

การซื้อขายในตลาดแบบมีระเบียบนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนลดความสี่ยงจากการผิดนัดชำระเงิน หรือผิดนัดส่งมอบสินทรัพย์ ตลาดจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการเรียกเงินประกันจากทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าผู้ลงทุนหรือผู้เก็งกำไรทั้งสองฝ่ายจะไม่ผิดนัดตาม สัญญาในอนาคต และการเรียกเงินประกันนี้จะต้องมีการปรับค่าตามราคาตลาดทุกวัน หากผู้ลงทุนฝ่ายใดเกิดการขาดทุนจากการลงทุน ตลาดจำทำหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินประกันเพิ่ม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงให้แก่คู่สัญญา

การซื้อขายในตลาดแบบมีระเบียจะมีสภาพคล่องที่สูงกว่า เพราะสัญญามีมาตรฐานทำให้เกิดความสะดวกในการซื้อขาย และในการลงทุนในตลาดแบบมีระเบียบ การที่สัญญาเป็นมาตรฐาน จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถปิดสถานะของตนเองได้เมื่อต้องการ เพราะจะมีผู้ซื้อหรือขายอีกด้านหนึ่งรออยู่ตลอดเวลา

ลักษณะสุดท้ายของตลาดแบบมีระเบียบ คือ การส่งมอบสินทรัพย์ตามสัญญามักไม่มีการเกิดขึ้นจริง แต่ด้วยผู้ลงทุนและผู้เก็งกำไรต้องการผลตอบแทนในรูปแบบของตัวเงิน จึงทำให้การส่งมอบสินทรัพย์ตามสัญญาไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการส่งมอบสินทรัพย์ตามสัญญาจึงเป็นเพียงการชำระผลกำไรหรือขาดทุน เท่านั้น

(อ้างอิงจาก WIKIPEDIA)

ตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทย


ตราสารอนุพันธ์ (Derivative, Derivatives) เริ่มเข้ามามีบทบาทในภาคธุรกิจของประเทศไทยมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีตราสารอนุพันธ์ชนิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตราสารอนุพันธ์ที่ประเทศไทยมีมาค่อนข้างยาวนานกว่าตราสารอนุพันธ์ชนิดอื่น ๆ ก็ คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currencies Exchange Forward Contract) ซึ่งมักจะนิยมใช้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเงินตราต่างประเทศ

ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออก หรือผู้นำเข้าสินค้า สัญญาดังกล่าวจะเป็นการทำสัญญาระหว่าง ธนาคารพาณิชย์ที่มีการรับบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กับผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกซึ่งจะมีรายได้หรือรายจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ

ดังนั้นการทำสัญญาดังกล่าว จะทำให้ผู้ที่จะมีรายได้หรือรายจ่าย ที่เป็นเงินตราต่างประเทศได้ทราบว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในอนาคตจะ เป็นอย่างไร การทำสัญญาดังกล่าวจะทำให้ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าสามารถประเมินถึงรายได้ และรายจ่ายที่เป็นจำนวนเงินสกุลบาทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนลดลง

ตราสารอนุพันธ์ประเภทอื่น ๆ ที่มีในประเทศไทยในขณะนี้อีกประเภทหนึ่ง ก็คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) สินค้าเกษตร ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) เป็นสัญญาที่ตกลงซื้อขายสินค้าเกษตร เช่น มันสำปะหลังเส้น แป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ ข้าวขาว 5% ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ยางแท่ง STR20 และน้ำยางข้น

ซึ่งการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรนี้จะช่วยให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ สินค้าเกษตรดังกล่าวเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอื่น ๆ สามารถกำหนดราคาซื้อขายล่วงหน้าได้ การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้านี้เป็นการประกันว่าสินค้าเกษตรดังกล่าวเมื่อผลิต ออกมาแล้ว ผู้ขายสินค้าเกษตรจะสามารถขายได้ราคาตามที่ต้องการ และจะผลิตสินค้าออกมาตามความต้องการใช้ของตลาด ไม่มีสินค้าล้นตลาด ส่วนด้านของผู้ซื้อก็จะสามารถมั่นใจได้ว่าราคาวัตถุดิบที่ต้องการซื้อนั้น จะเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ไม่เกิดความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร

ตราสารอนุพันธ์อีกประเภทที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมาไม่นานมากนัก คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีหลักทรัพย์ SET 50 (SET50 Index Futures) ซึ่งดำเนินการซื้อขายที่ตลาดอนุพันธ์ ซึ่งบริหารจัดการโดย บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (TFEX) เป็นตลาดที่ทำหน้าที่ซึ่งขายล่วงหน้าดัชนีหลักทรัพย์ SET 50 ของประเทศไทย เป็นการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเข้ามาในการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์

โดยที่นักลงทุนจะสามารถเลือกลงทุนตามปกติในตลาดหลักทรัพย์ และเลือกลงทุนใน SET 50 Index Futures เพิ่มเติม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าราคาของหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่ต้องการให้เป็น

เช่น หากนักลงทุนเลือกลงทุนอยู่ในหลักทรัพย์หลายชนิด แต่กลัวว่าราคาของหลักทรัพย์เหล่านั้น จะมีราคาที่ลดลงทำให้เกิดการขาดทุนจากการลงทุน นักลงทุนดังกล่าวก็สามรถที่จะเข้ามาลงทุนใน SET 50 Index Futures ได้ เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่ราคาหลักทรัพย์ลดลง ผู้ลงทุนก็จะขาดทุนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ แต่จะได้กำไรจากการลงทุนใน SET 50 Index Futures มาทดแทน

(อ้างอิงจาก WIKIPEDIA)

ตราสารอนุพันธ์ (derivative)


เป็นสินทรัพย์ทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ futures, forward, swap, options เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้นสามัญ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทรัพย์สินใดๆ เป็นต้น
สินทรัพย์อ้างอิงของตราสารอนุพันธ์

สินทรัพย์ที่ตราสารอนุพันธ์สามารถอ้างอิงได้นั้นเป็นสินทรัพย์ได้เกือบทุกประเภท โดยอาจแบ่งเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้

* สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ได้แก่
o เชื้อเพลิง เช่น น้ำมัน เอทานอล
o สินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง นม กุ้ง เนือหมู เป็นต้น
* สินทรัพย์ทางการเงิน ได้แก่ หุ้นสามัญ หุ้นกู้ เงินตราต่างประเทศ (forex) เป็นต้น
* ตัวแปรทางการเงิน ได้แก่ ดัชนีของหลักทรัพย์ต่างๆ อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน อันดับความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
* ตราสารอนุพันธ์ เช่น option on futures, swaption เป็นต้น
* อื่นๆ ได้แก่ ความเสียหาย สภาพอากาศ อุณหภูมิ เป็นต้น

ประเภทของตราสารอนุพันธ์

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures & Forward Contract) เป็นสัญญาซึ่งทำการตกลงกันระหว่างบุคคล หรือสถาบัน 2 ฝ่าย โดยมีฝ่ายของผู้ซื้อ และฝ่ายของผู้ขาย ทำการตกลงกันในสัญญาว่า จะมีการซื้อขายสินทรัพย์ (ซึ่งอาจเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน หรือสินทรัพย์ทางการเงิน) ในอนาคต โดยทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะมีภาระผูกพันที่จะต้องทำตามสัญญาที่กำหนดไว้ ดังนั้นภาระของทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ขายจะต้องนำสินทรัพย์มาทำการส่งมอบในอนาคต และฝ่ายผู้ซื้อจะทำการชำระราคาในอนาคต เช่น คู่สัญญาทำการตกลงจะซื้อขายเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในอีก 3 เดือนข้างหน้า เมื่อระยะเวลาถึงกำหนดตามข้อตกลงในสัญญาทั้งฝ่ายผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องทำ ตามสัญญา (มักจะเรียกว่าวันที่สัญญาครบกำหนดอายุ หรือ Maturity Date) คือ ผู้ซื้อจะต้องนำเงินบาทมาชำระค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และฝ่ายผู้ขายก็จะต้องนำเงินดอลลาร์สหรัฐมาส่งมอบเช่นเดียวกัน

ออปชัน (Option) เป็นสัญญาที่มีลักษณะคล้ายกันกับ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในประเภทแรก แต่แตกต่างกันที่สัญญาประเภท ออปชัน เป็นสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้ที่ทำการซื้อสัญญาออปชัน ว่าจะมีสิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ใด ๆ ตามสัญญา ดังนั้นสิทธิของการทำตามสัญญานั้นจะเป็นของฝ่ายผู้ซื้อสัญญาซื้อหรือขายล่วง หน้า สิทธินั้นขึ้นอยู่กับว่าสัญญาเป็นการซื้อหรือขาย สำหรับฝ่ายผู้ขายเป็นฝ่ายที่ไม่มีสิทธิเลือกใด ๆ เพราะฝ่ายขายเป็นผู้ที่เขียนสัญญาขึ้นมาขาย และเป็นผู้ที่ได้รับค่าสัญญาไปตั้งแต่ต้น จึงไม่มีสิทธิในการเลือกใด ๆ

สัญญาสวอป (Swap) เป็นสัญญาที่มีการแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตระหว่างคู่ สัญญา หรือเป็นสัญญาที่มีการแลกเปลี่ยนภาระการลงทุน หรือภาระดอกเบี้ยของคู่สัญญา

นอกจากนี้ยังมีตราสารอนุพันธ์ประเภทอื่นๆ ได้แก่ swaption หุ้นกู้อนุพันธ์ (Structure note) เป็นต้น

(อ้างอิงจาก WIKIPEDIA )


วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Money, What Is It?

Zeitgeist - The Movie: Federal Reserve (Part 1 of 5)

ZEITGEIST II ADDENDUM (FULL MOVIE!)

Zeitgeist - The Movie: World Trade Center (Part 1 of 4)

Zeitgeist Part I: The Greatest Story Ever Told (HQ) - Remastered version

ดูเรื่องนี้แล้ว "จุ้งเลย!!".. เขาพูดถึงเรื่องราวว่า ศาสนาคริสต์เกิดจากการเอาเรื่องของดวงดาว มาเล่าเป็นเรื่องราว(ไม่ใช่เรื่องจริง)-- (Jesus ก็คือดวงอาทิตย์ ไม่ใช่บุคคล , ไม้กางเขนคือเส้นแบ่ง Zodiac 12 ราศี , วันเกิดวันตายของ Jesus คือ การขึ้นลงของดวงอาทิตย์ ..) ..เอ๋อ!! สรุปดูแล้ว งง ครับ ..คือเอาเป็นว่า ลองคลิ๊กดูเอาเองละกัน "To believe is to believe!!"

"อยากจะเชื่ออะไร มันขึ้นอยู่กับ (คุณอยากที่จะเชื่อมัน)".. แปลกดี แต่ผมไม่ได้จะลบหลู่ใคร เห็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ดูไว้ประดับความรู้ ดังคำพูดที่ว่า "รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม!!"

ถ้าใครบอกคุณว่า ปู่คุณ จริงๆเป็น มนุษย์ต่างดาว มันอาจทำให้คุณเกิดอาการจุ้ง!! หรือจุก!! แต่ประเด็นมันลึกกว่านั้น ..จริงๆผมจะไม่ตัดสินใจเชื่อในสิ่งที่ผมไม่รู้ "เรียกการเรียนรู้อย่างไว้หู(ไม่เสียหู!!)"

ดังนั้น ถ้าใครบอกว่าปู่ผมเป็นมนุษย์ต่างดาว ผมจะรู้ทันทีว่ามันไม่จริง เพราะผมรู้ข้อเท็จจริง.. ฮ่า ฮ่า เข้าใจไหมเนี่ย!!

They can be Miracle when you believe!!...so believe!! ((But in what??))

Believe in Yourself because you know the truth about yourself, aren't ya!!

อิ อิ ดู Youtube แล้ว งง บทความก็เลย งงๆ ..อิ อิ


วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตอบคำถามหุ้น CPF ได้ข่าวว่าจะไปถึง 40 บาทไหม !!

มีเพื่อนๆ ที่ธนาคารกรุงเทพ ถามผมว่า หุ้น CPF ได้ข่าวว่าจะไปถึง 40 บาทไหม !!

(คำตอบครับ)

CPF เจ้ามือ ก็คือ เจ้าสัวธนินท์ (ต้นทุนเขาต่ำกว่า 3 บาท) อย่างที่รู้กันว่าปีที่แล้วหุ้นวิ่งจาก 3 บาทมาปิดที่ 25 บาทตอนนี้(ขึ้น 8 เท่า) ..แต่พื้นฐานไม่ได้โต 8 เท่า --"ถามว่าไปต่อได้ไหม --"ไปได้" เพราะ bubble วิ่งไปเท่าไหร่ก็ได้ ...แต่มันเสี่ยงมาก เพราะจบ bubble ก็คือ Clash" (แต่เงินไม่ใช้ประเด็นสำหรับคุณ ธนินท์ ดังนั้น เขาคงไม่ทำให้ราคากลับไปแตะ 3 บาทอีก ..."สรุปทุกอย่างขึ้นกับคุณธนินท์") หุ้นที่ขึ้นกับคนๆเดียว ผมไม่ชอบ "เสี่ยง!!" ...แต่พนักงานทุกคนของ CPF ทุกคนก็ชีวิตขึ้นกับ "เจ้าสัว" อยู่แล้ว "เสี่ยงอีกสักนิดจะเป็นอะไรไป" (เอากราฟการขึ้นของราคามาให้ดู "ราคาไปได้" แต่ผมไม่ชอบหุ้นแบบนี้เท่านั้นเอง ลองดู!!)

การซื้อหุ้นขาขึ้น ส่วนมากจะได้กำไรตอนเริ่มต้น (อย่างที่รู้ๆกันว่า การซื้อหุ้นขาขึ้น มันหมายความว่า "คุณไม่ได้ซื้อหุ้นถูกนะ" คือ คุณซื้อแพงและกะจะไปขายที่แพงกว่า (ดังนั้น คุณต้องเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังทำให้ดี )..คือถ้าราคาวิ่งไปถึงจุดที่เราพอใจก็ควรตัดขาย ถือยาวมากไม่ได้!!..การเล่นหุ้นแบบนี้ในมุมมองของผม ถือว่าเสี่ยงหากคุณไม่มีเครื่องมือ อย่าง technical เข้ามาประกอบ เพราะ "หุ้นลักษณะนี้ ถ้าเราซื้อแพงเราต้อง let profit Run จากนั้นให้ไปขาย เมื่อเกิดสัญญาณ หุ้นตกอย่างชัดเจน" (ถ้าคุณไม่เข้าใจที่ผมพูด แสดงว่าคุณไม่เข้าใจ Nature ของการเล่นหุ้นขาขึ้น ...ให้รีบไปศึกษาก่อนนะครับ ไม่งั้นเสียเงินแน่ๆ!!)

...ตอนนี้ P/BV + P/E ของหุ้น CPF สูงเป็นประวัติการณ์ นั่นแสดงว่า "หุ้นมันไม่ได้ถูกแล้ว" ---(ให้ข้อมูล..ที่เหลือลองตัดสินใจดู ละกันครับ) ...

ปล.หุ้นที่ท่านภาคโอ๋ ถือแจ๋วมากๆ (ลองแอบถามดูละกันว่าแกถืออะไรเยอะ...อิ อิ)

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตอบโจทย์พี่ Daddy บางส่วนก่อนครับ!!



อ้างอิงจากคำถามพี่ daddy
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=14667

(มันเป็นการ์ตูนที่สุดยอดมากๆ ...เพราะผมเป็นคนนึงที่ชอบศึกษาภาพใหญ่ หรือ ระบบทุนนิยมอยู่เป็นทุน ทำให้ยิ่งดู ยิ่งสนุก ..."คนเขียนการ์ตูนมันเก่งโคตร!!")

ตอนนี้ ผมไปรู้จักเครื่องมือดีๆ อย่าง googletrend (introduce by yong "นักเทรด Commodity ลึกลับ ซึ่งเป็นหนึ่งในชาว S2M เช่นกัน" ...เอาเป็นว่า คุณ yong นี่จะพูดได้ว่ารวยบนเตียงก็อาจจะใช่อยู่ ---เป็น "เรื่องราวของ Trader Commodity ที่นั่ง Trade ในห้องนอน
"ทำเงินในรอบที่กว้าง (แม้จะไม่กว้างเวอร์ๆอย่างผม..หุ หุ) แต่ก็สามารถทำเงิน ได้เป็น"เม็ดๆ" ..ขอบอกว่าแย้มดู port ของ yong แล้วทำให้ผมถึงกับตะลึง!!

"มึงนั่ง Trade อยู่กับบ้านอย่างนี้อ่ะนะ ...แล้วมึงทำเงินระดับนี้อ่ะน่ะ !! (มึงบ้าไปแล้ว..)"
ห้องเล็กๆ ที่มี Computer จอ 4 Monitor (คือ "หรู" กว่า Monitor ฺBloomberg ที่มีแค่ 3 Monitor)

โอเค เล่าแค่นี้ก่อน แล้ววันหลังจะมา "แฉ yong (Trader หนุ่มลึกลับ) ให้เพื่อนๆฟังต่อไป" ..."ไม่แน่อาจเชิญมานั่งคุยกัน!!ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย"

กลับมาที่ Google Trend คือ พอเรา run คำว่า "stock" เข้าไป จะไปเจอ trend มันไปโป่งที่ India + ภาษาอังกฤษ "มันหมายถึง อย่างใน Video ที่พี่ Daddy เอาให้ดูว่า ตอนนี้ไอ้รวยหุ้นมันไปกระจุกที่ india" ...ฮึม!! เป็น Tool ของ Google ที่เปิดโลกทัศน์แบบ Macro ให้กับคนตัวเล็กๆอย่างพวกเราจริงๆ

โอเค ไว้วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังถึงรายละเอียด (ตอนนี้ดึกมาก..ไปนอนดีกว่าครับ)

อ๋อ!! อย่าลืมนะครับเพื่อนๆ blog ผม http://pawawit.blogspot.com ตอนนี้กระโดดมาเป็นที่ 11 แล้ว ...อีกที่เดียวเท่านั้น!! (คือ 1 - 10 เข้ารอบ) ยังเหลือเวลาให้ Vote ถึงวันนี้ 10 สิงหา เท่านั้นครับ "แต่เซ็งนิดๆที่มัน lock IP ทำให้บางที vote ยาก..ผมก็ งง" ---เอาเป็นว่า ช่วยผมอีกนิด ฮ่า ฮ่า ...ขอบคุณมากครับเพื่อนๆ
(link อยู่ใน http://pawawit.blogspot.com ครับผม)

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) ตอนที่ 6 (จบมหากาพย์แกะสมอง ณ บัด Now !!)


ป๋ากึ้ง : โห!! นี่คุยกันมายาวจริงๆ เมื่อยพุงมาก คงจะต้องไปทานข้าวกันเสียที !!

ภาววิทย์ : โฮ!! ป๋ากึ้ง ..ผมยัง “เมามันส์น้ำลาย(ฟูมปากอยู่เลย) …หุ หุ หุ”

ป๋ากึ้ง : เอาน่า !! โอกาสหน้ามานั่ง “แจม” กันใหม่ … คุณ ภาววิทย์ “ปิดเลย..มีอะไรจะฝากไหม!!”

ภาว วิทย์ : ครับ!! เอาเรื่อง Intrend อย่าง SEO ละกัน ….(อาจไม่เกี่ยวกับหุ้นเท่าไหร่ …แต่มันก็เกี่ยวนะ!!) ตลาดขึ้นลงบนพื้นฐานของ “ความเชื่อ” …ดังนั้น ถ้าคุณจับ “กระแสหลัก” ของสังคมได้ว่ากำลังมุ่งไปทางไหน ..คุณก็จะมี 2 Chioce คือ อย่างแรกคุณวิ่งสวนกระแส (ซึ่งผมชอบทำ) กับอีกอย่างคือ คุณวิ่งไปข้างหน้ากระแส…

ป๋ากึ้ง : ปาด !! ปาด !! ๆๆ … “วิ่งไปหน้ากระแส!!” ผมชอบ … “ผลแปลความหมายนี้ให้เลย การที่คุณจะสามารถวิ่งไปหน้ากระแส มันมีทางเดียว คือ คุณต้องเป็นคนที่สร้างกระแส..ถูกไหม!!

ภาววิทย์ : ถูกต้อง!! ซึ่งกระแสมันทำได้หลายอย่าง คือ ถ้าเป็นสมัยโบราณ คุณก็เอาเงิน “ทุ่ม” ซื้อสื่อ (จ่ายมันเข้าไป ..อัดมันใส่คนดู) แต่เดี๋ยวนี้ ยุค Hi-tech เรามีสื่ออยู่รอบตัว ดังนั้น Attention เราถูก Fragment อย่างมหาศาล …สังเกตุไหมเดี๋ยวนี้ ทำอะไรไม่เคยจบเลย ต้องมีอะไรมาขัดจังหวะเสมอ!! ..ดังนั้น ทางเดียวที่คุณจะเข้าถึง คนรุ่นใหม่ นั่นก็คือ “ให้เขาเข้ามาหาเราเอง”

ประเด็นนี้(เรื่องการใช้Pull Strategy เน้นในเรื่องของ Product is Everything รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการสื่อสารแบบใหม่อย่าง Social Network รวมทั้งการทำ SEO) ผมเกริ่นอยู่ พอสมควร ในหนังสือ “แกะรอยหยักรวยหุ้นหมื่นล้านของผม” ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมชี้ และตั้งให้ไปคิดต่อ …วันนี้ผมก็ใหม่อยู่ แต่ก็ลองทำจริง “ทั้งเล่นหุ้น ทั้งลองการเล่นเครื่องมือการตลาดสมัยใหม่อย่าง Facebook , Twitter , การ Blogging” ถือว่ามันได้ประโยชน์มาก

วันนี้ผมทำ SEO ให้กับ หนังสือ “แกะรอยหยักสมองของผม” คือ หากใครลองเข้า Google แล้วใช้ Key word พิมพ์
“แกะรอย หยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน” “แกะรอยหยักสมอง” หรือ “รวยหุ้นหมื่นล้าน” เราจะครอง Page ต้นๆของ Google ทั้งหมด …ทั้งหมดนี้ไม่ได้เสียเงินค่าโฆษณาซักบาท ..และผมว่า มันเป็นสิ่งที่สนุก ที่สามารถต่อยอดได้อีกไกล…
วันนี้เทคโนโลยีเราก้าวไปเร็ว “ต้องตามให้ทัน..ไม่งั้นเราเสียประโยชน์” อย่างโฆษณาทีวี กับ หนังสือพิมพ์ ผมว่าช่วงหลัง แผ่วไปเยอะ … “คุณรอดูนะ อีกสัก 10 ปี รอให้กำลังซื้อหลักของโลก Shift จาก Boomer + Gen X มาสู่ Gen Y เมื่อไหร่ ผมบอกเลยเราได้เห็น นักการตลาดกระอักเลือดกันเป็นแถว หากตามเครื่องมือการสื่อสารแบบ Pull Strategy สมัยใหม่ไม่ทัน”

ป๋า กึ้ง : ฮึม!! น่าสนใจมาก …นี่แหละที่ผม เลือกที่จะตั้ง ชุมชน Stock2morrow ขึ้นมา ..เพราะจากที่เคยใช้ webboard ที่อื่นๆ “ผมติงๆในบางเรื่อง…ไม่ขอกล่าวละกัน” แต่เอาเป็นว่า S2M เราสร้างขึ้นมาแบบ มาร่วมใจในการถ่ายทอดสู่สังคมจริงๆ ..อย่างผมไม่ได้มีรายใหญ่ หรือ บริษัทอะไรสนับสนุน ดังนั้น การวิเคราะห์ หรือ แนะนำหุ้น ไม่ได้มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง …. “ก็ดีใจนะ ที่วันนี้ ภาววิทย์ได้ก้าวเข้ามาช่วยผมอีกแรง ในการสร้างสรรค์ และมอบสิ่งดีๆ อย่างแนวทางการเล่นหุ้นอีกแบบที่น่าสนใจสู่สังคม” …ผมว่าท้ายสุดนะ การเล่นหุ้น หรือ Style มันเป็นเรื่องของ ศิลปะ ที่แต่ละคนจะมีรูปแบบเฉพาะตัวเองที่ต่างกัน ..อย่างผมกับ ภาววิทย์ เล่นกันคนละแนว ผมเล่นหุ้นเล็ก ภาววิทย์เล่น Blue Chip แต่เราทั้งสองถึงต่าง แต่ก็กำไรเหมือนกัน ---เอาเป็นว่า เราก็ได้ความรู้กันอย่าง หอมปากหอมคอ เล็กๆน้อยๆ จากการที่เราทั้งสองคนมานั่งคุยกัน พูดไปพูดมาเพ้อเจ้อบ้าง ….อิ อิ อิ

ผม มีความสุขนะที่ ชุมชน S2M ของเราได้ก้าวไปอีกขั้น “ตอนนี้เราเริ่มผลิตหนังสือ ซึ่งผมเองเป็นนักอ่านคนนึง ที่ผมมองว่า ถึงแม้ Internet จะก้าวไปเพียงใด ผมก็ยังชอบการอ่านหนังสืออยู่ดี ..และนี่เองที่ผมตัดสินใจพิมพ์ผลงานของภาววิทย์ ออกมาเป็นหนังสือ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน…” ซึ่งผมมองว่า มันมีคุณค่ามาในเชิง การจุดประเด็นความคิด ที่จะสามารถต่อยอดไปได้.. “ก็ขอบคุณชาว S2M ผู้อ่าน และก็ภาววิทย์ ด้วย” --ยังไงก็อุดหนุน หนังสือดีๆของเรา นะ “ขอบคุณมาก!!”

ภาววิทย์ : ซึ้งครับพี่!! ..ขอบคุณป๋ากึ้ง …ขอบคุณทุกคน “คราวหน้าเราต้องมีโอกาส พูดคุยกันอีกครับ!!”

(จบสนทนา มหายาว ..ระหว่าง “ป๋ากึ้ง” กับ “ภาววิทย์”)

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) ....ตอนที่ 5


ภาววิทย์ : “ใช่เลย” ผมเป็นคนนึงที่ค้นคว้าระบบทุนนิยมอย่างจริงจัง คือ ในเมื่อเราทุกคนอยู่ภายใต้ กฏของทุนนิยม แล้วจะมีสักกี่คนที่เข้าใจ หลักการของมันอย่างจริงจัง …คุณรู้ไหมหากคุณเข้าใจระบบอย่างถ่องแท้ มันก็ไม่ยากที่คุณจะสามารถทำกำไรในสิ่งที่คุณเห็น ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น..จริงไหม

ป๋ากึ้ง : ภาววิทย์ กำลังจะพูดถึง “ทุนนิยมเหรอ” --เดี๋ยว!!พี่ขอไปแอบหลับได้ไหม…อิ อิ

ภาววิทย์ : “เดี๋ยวป๋ากึ้ง..ฟังก่อน!!” ระบบทุนนิยม ตั้งอยู่บนหลักของ Demand & Supply คือ ผมหมายความว่า ทุกอย่างขึ้นลงตาม Demand & Supply ไม่ว่าจะเป็น หุ้น บ้าน ที่ดิน ทอง ทุกอย่าง ขึ้นลงตามความต้องการของตลาด.. คุณรู้ไหมเคล็ดลับของทุนนิยมคือ การที่เงินมันลดมูลค่าลงเรื่อยๆ ในขณะที่ Asset บนโลกนี้ ไม่ได้เพิ่มขึ้น แถมลดลงด้วยซ้ำ เช่น นำ้มัน , เหล็ก คือ บางอย่างใช้แล้วหมดไป ….แต่ Supply ของเงิน คุณลองดู ตั้งแต่ Sub prime เป็นต้นมาแบงค์ชาติประเทศต่างๆ อัดฉีดเงินเข้ามามหาศาล

ในขณะที่ Supply ของเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย แต่ Asset ไม่ได้เพิ่มขึ้น .. “คุณว่าอะไรจะเกิดขึ้น” แน่นอน สิ่งที่จะเกิดก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจผ่านวิกฤต เงินก็จะไหลบ่าเข้ามาสู่ Asset อย่างมหาศาล --ดังนั้น ผมฟันธงเลยว่าถ้าวิกฤตเศรษฐกิจผ่านพ้นไป ราคา Asset ทุกอย่างรวมทั้งหุ้นต้องพุ่งอย่างมโหราฬ!!

ป๋ากึ้ง : แต่คุณ ภาววิทย์ ไม่คิดเหรอว่า อเมริกา กับ ยุโรปอาจเป็นแบบญี่ปุ่น คือ ผ่านไป 20 ปี แต่ตลาดหุ้นกลับไม่ไปไหนเลย

ภาว วิทย์ : ผมว่าภาพนี้ต้อง มองแยกเป็นประเด็นๆ นะ อย่างที่ ถ้าบอกว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไม่ไปไหน แต่มันไม่ได้หมายถึงทุก Sector จะแย่ เพราะอย่างการส่งออกของญี่ปุ่นก็ดีมาตลอด ดังนั้น ภาพนี้มันชัดว่า “ไม่ใช่ประเทศไม่ดี แล้วทุกคนจะต้องซวย ..มันมีบางคนที่ดี --ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเป็นคนไหน “ดีหรือซวย”..ใช่ไหม!!

ตอน นี้ผมเห็นนักวิเคราะห์หลายคน ยกตัวอย่าง Dr.Doom ที่ออกมา วิเคราะห์บอกว่า โลกเราเศรษฐกิจขึ้นมาถึงจุดยอดแล้ว ต่อไป Demand มีแต่จะลดลง ดังนั้น “เรากำลังจะเข้าสู่ยุคของ Asset ถูกตลอดไป!!” ..ผมถามหน่อย “คุณเชื่อไหม!!”
คุณ ลองมองให้ดีนะ ถ้าเศรษฐกิจดี มัน Win-win คือ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี มัน Lose-Lose นะ คือต่างคนต่างซวย แต่คนไม่ซวยมีคนเดียว คือ “Dr.Doom” เพราะเขาขายหนังสือได้ เขาได้ค่าตัวเวลาออกทีวี ได้เงินจากการเป็นสื่อ แต่นอกนั้นทุกคนซวยหมด ---“ไร้สาระสิ้นดี!!”

เศรษฐกิจจริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอะไรเลย ก็ Demand & Supply ดีๆนี่เอง ..ลองนึกภาพนะครับ ในโลกนี้มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง แต่ก่อนเงินอยู่ในมือรัฐบาล แต่ละประเทศก็ปิด ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทำได้ยาก ผลก็คือ เศรษฐกิจแต่ละ cycle ใช้เวลานาน (สังเกตุ Cycle สมัยก่อนบางที ขาขึ้น ขาลง กินเวลา 20 ปี) ---“แต่คุณลองสังเกตุเดี๋ยวนี้ จาก Globalize การเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้เพียงปลายนิ้ว …มาดูในส่วนของคน Control เงินส่วนใหญ่ของโลก ถามหน่อยเดี๋ยวนี้ใช่รัฐบาลไหม!! ..ไม่ใช่เลย!! “ยิว” เจ้าของ Hedge Fund /Private Equity ต่างๆ อยู่ในมือ “ยิว”

“ยิว” นี่แหละเจ้ามือตัวจริง รัฐบาลไอ้กันเป็นเพียงหมาก (ย้ำ!! เป็นเพียงหมาก!! ) ย้อนกลับช่วง Sub prime ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้ง Asset ราคาตกวูบไปไม่รู้กี่ Trillion (หลักล้านล้านบาท) ..คุณลองนึกดูนะ Asset ทั่วโลกราคาตกวูบ แต่ถามหน่อย Physical จริงๆ “สสาร” มันไม่ได้หายไปไหน --“ดังนั้น ประเด็นเดียวที่ทำให้ ราคา Asset รวมทั้งหุ้น ตกวูบขนาดนั้น ก็คือ (อารมณ์ของยิว !!)

ถึงจุดนี้ หลายคน งง ว่าอารมณ์ของยิว มันเกี่ยวกับราคา asset อย่างไร “มันเกี่ยวอย่างมาก!!” ก็คุณคิดดูซิ “ยิว” มัน Control เงินค่อนโลก “พอมันรู้สึกแย่..เท่าไหร่ก็ขาย หนีออกเพื่อถือเงินสด” ภาวะนี้คุณลองมองในมุมของ Demand & Supply นะ … “ช่วง Sub prime มันเกิดภาวะที่ Demand ใน Asset ลดลงกว่าความเป็นจริง “ผลก็คือ ราคา Asset ทั่วโลก อยู่ดีๆก็หายไปเฉยๆ” ---จากนั้นพอพวก “ยิว” ตั้งสติได้ มันก็รีบกลับเข้ามาช้อนซื้อ Asset ที่เพิ่งปล่อยหลุดมือไปอย่างหมูๆ ช่วงปลายปี 2008 ----ดังนั้น เมื่ออารมณ์ยิว โดดไปอีกด้าน ก็ส่งผลให้ ราคา Asset ที่มันซื้อขายได้ง่าย อย่าง Commodity และ หุ้น เหวี่ยงกลับมาอย่างรวดเร็ว “เกิดสภาวะ Bull Market ตลอดปี 2009”)

ทั้งหมดที่ผม พร่ามมานาน มีสองประเด็น คือ หนึ่ง “ Demand & Supply” สอง “อารมณ์ยิว!!”…ตลกไหมโลกเรา เข้าใจสองตัวนี้ “รวย!!”---ทีนี้คุณสงสัยไหมว่า ทำไม ฮิตเลอร์ มันไล่ฆ่ายิว …หุ หุ --“ก็เพราะฮิตเลอร์ คิดช้า ไม่ทันยิวไง …หุ หุ (ขำๆ)”

ป๋า กึ้ง : สรุปว่า คุณภาววิทย์ เปิดที่ Demand & Supply แล้วมาปิดที่ อารมณ์เปี่ยวนี่นะ!! (เฮ้ย!! ไม่ใช่… “อารมณ์ยิว”..หุ หุ) เอ๋อ..ว่าแต่ Buffet เกี่ยวกับภาพนี้ด้วยหรือเปล่า

ภาววิทย์ : เกี่ยวซิครับพี่ …ความมั่งคั้งของ Buffet ผูกติดกับระบบทุนนิยม (คือ ราคาเงินลดไปเรื่อยๆในขณะที่ราคา Asset เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) สรุปง่ายๆคือ การลงทุนทุกอย่างมันตั้งอยู่บนฐานของ “ความเชื่อ” หากทุกคนเชื่อว่า ทองจะราคาขึ้น ..สุดท้ายราคามันก็เลยขึ้นจริงๆ เพราะมันเกิด Demand เพิ่มในขณะที่ Supply ของทอง มันมีจำกัด

กลับมาที่ประเด็นของเงิน ที่ผมพูดถึงว่า ตอนนี้ Supply ของเงินมันมหาศาล ประกอบกับการไหลของเงิน มันทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ..สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ราคาของ Asset ต่างๆ มันก็จะผลัดกัน Bubble ไปเรื่อยๆ เช่น วันดีคืนดีกองทุนแห่ไปเล่นทอง ราคาทองก็พุ่ง ..เดี๋ยวกองทุนมัน หวือไปเล่น น้ำมัน --ราคาน้ำมันมันก็จะขึ้น …หรือวันดีคืนดี กองทุนมันหวือ มาเล่นหุ้น ราคาหุ้นมันก็จะขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง หากคุณกระจายเงินคุณลงไปใน Asset ต่างๆ แล้วก็รอ ..คือ รอว่า ถ้า Asset ที่คุณถือมันหวือเมื่อไหร่ คุณก็ขายตัวนั้น แล้วเอาเงินที่ได้ ไปใส่ใน Asset ที่ยังไม่ขึ้น (เห็นไหมครับ การลงทุนให้กำไร มันก็คือ คุณเข้าใจ Basic พื้นๆของ Demand & Supply ใช่หรือไม่!!)

ป๋ากึ้ง : โอ้โห !! ชักมึน คือ คุณภาววิทย์ กำลังหมายความว่า ทุกอย่างในโลก มันมีความเชื่อมโยงกันหมด ..ประเด็นคือ ถ้าคุณเข้าใจภาพของการเชื่อมโยง แล้วคุณมองมันในเชิงของ Demand & Supply คุณก็จะเห็น “ช่องว่างของ Trend” จากนั้น “คุณก็สามารถทำกำไรได้จากมัน” –(เห็นในสิ่งที่คนอื่น มองข้าม คุณก็จะ “รวย” ..ถูกไหม!! )

ภาววิทย์ : “ใช่เลยพี่!!”------(อ่านต่อตอนที่ 6..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) .....ตอนที่ 4


แต่อีกประเด็นที่น่าคิดคือ คนส่วนใหญ่ “อยากเป็นนักลงทุนแต่ทำไม่ได้”--- อันนี้ ภาววิทย์ คิดยังไง

ภาว วิทย์ : ประเด็นนี้โดนมากพี่ … “หลายคนไม่เข้าใจอย่างแรง ..การลงทุนแท้จริงแล้ว (คุณต้องอยู่กับมัน) บางครั้ง 30 ปี 40 ปี คือมัน โตครจะนาน” หากคุณเลือกแนวทางการลงทุนที่คุณไม่มีความสุข ผมถามหน่อยคุณจะอยู่ได้ไหม กับ 30 ปีบน ความทุกข์และนอนไม่หลับ (อย่าง Buffet ถ้าคุณมองให้ดี หุ้นขึ้นหรือลง เขาก็ไม่ได้ทุกข์ เพราะเขาไม่ได้ Focus ที่ราคาขึ้นลง ..การซื้อหุ้นของ Buffet เป็นการเข้าซื้อกิจการที่ดี และถือไปตราบเท่าที่ราคาหุ้นมันจะเกินมูลค่าที่แท้จริงไปมากๆ …จุดนี้ถ้าวิเคราะห์ให้ดีก็คือ การซื้อหุ้นถูก และขายตอนแพงนั่นเอง (คิดดีๆประเด็นนี้มันลึกมากๆนะครับ) .. “Buffet เขารวยเพราะเขาไม่ได้มองที่ราคา แต่เขาซื้อกิจการต่างหาก” ดังนั้น การลงทุนของ Buffet จึงไม่ใช่วิธีเชิงรุก แบบ “รวยเร็ว” อย่างที่ทุกคนเข้าใจ --- วิธีการที่ Buffet ใช้ สอนให้เรารู้ว่า ยิ่งคุณคิดอยากจะรวยเร็ว คุณกลับรวยช้า !!

โอเค !! จริงๆผมว่า มีน้อยคนที่จะทำอย่าง Buffet ได้ ทางแก้ผมว่า ทุกคนควรมี port “สอง Port…”

ป๋ากึ้ง : “แล้วทำไมต้องมี 2 port ล่ะ” Port หนึ่ง “ความสุข” อีกอัน “Port ความทุกข์” ใช่ไหม!!

ภาววิทย์ : “แม่นแล้วป๋ากึ้ง!!” ตีประเด็นแตกจริงๆ ..การลงทุนผมมองว่า Value Investor มันเป็นแนวทางที่ “เซ็งเป็ดเอามากๆ” แต่มันโคตรจะกำไร …ส่วนแนวทาง Timing Market แบบที่คนส่วนใหญ่เล่นมันเป็นอะไรที่ “สนุก” ซึ่งระยะสั้นอาจให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าแบบแรก แต่ถ้ามองให้ลึกๆแล้ว มันก็คล้ายกับ “การพนัน” ดีๆนี่เอง

ด้วยความคิดนี้เอง ผมจึงมองว่า หากทุกคนมี 2 port และเลือกลงทุนสองแบบ “คุณจะได้เห็นกับสองตาของคุณเอง เลยว่า วิธีไหนมันกำไรกว่า” ..แต่จำนวนเงินผมแนะนำให้ใส่ส่วนมากไว้ใน port ระยะยาว และก็ใส่ส่วนน้อยใน port ระยะสั้น (แบบที่กะว่าเหลือศูนย์ได้) จากนั้น “ก็ลุยเลย!!” ….ซึ่งถ้าให้ผมเดา port สั้นของคุณมีโอกาสที่จะชนะ port ใหญ่ในระยะห้าปีข้างหน้า .แต่ถ้าเกิด Double dip “คุณว่าPort แบบไหนซวย!!” ---เห็นไหมล่ะครับว่า ช่วงนี้ใครๆก็ห่วงว่า ตลาดจะ Correction เมื่อไหร่ .. “คนที่สนใจคำถามนี้ ก็คือ คนที่เล่นสั้นทั้งนั้น”…แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ …หุ หุ

ป๋ากึ้ง : ผมยังสงสัยนิดนึง เรื่องของ กองทุน คุณว่าไม่ดียังไง !!

ภาว วิทย์ : ไม่ใช่นะครับ!! ผมไม่ได้บอกกองทุนไม่ดี เพราะไม่ว่า กองอะไรก็ตาม ยังไงมันก็ดีกว่า “เงินฝาก” …หุ หุ --ปัญหาของกองทุนคือ เขาไม่ใช่ไม่เก่ง (ผู้จัดการกองทุนแต่ละคน ระดับหัวกะทิของประเทศทั้งนั้น) ปัญหาที่แท้จริงคือ เขาถูกวาง Position ให้เล่นในข้อจำกัด เช่น ห้ามถือหุ้นหมด port หรือ ห้ามขายหมด port แต่ละ quarter ต้องแสดงผลงาน … “ถึงให้ Buffet มาเล่นภายใต้ ข้อจำกัดนี้ เขาก็ซวยเหมือนกัน” ดังนั้น ประเด็นมันอยู่ที่ “เกมที่เขาเล่นต่างหาก ที่ทำให้ผลตอบแทนมันออกมาไม่ดี”…เหมือนที่ผมบอกว่า “คนเราไม่ว่าเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มีเวที ให้แสดงออก หรือ ถูกจำกัดให้เล่นภายใต้ข้อจำกัด ..ต่อให้เป็น Tiger woods ก็เถอะ --“พัง!!””

ป๋ากึ้ง : แล้วภาววิทย์แนะนำอย่างไร เกี่ยวกับการลงทุนล่ะ

ภาว วิทย์ : ผมมองว่า การลงทุนจริงๆแล้วมันเป็น “ศิลป์” มันไม่ใช่ “ศาสตร์” ดังนั้น มันไม่มีสูตรสำเร็จ …ในโลกของการลงทุน 1+1 อาจไม่เท่ากับ 2 ---เนื่องจากสภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา …เหมือนคุณเล่นกอล์ฟน่ะ ตีกอล์ฟก็สนามเดิม แต่จุดที่คุณตี มันไม่เคยซ้ำที่เดิมเลย ดังนั้น ที่หลายคนมองว่า เอ๊ะ!! คุณตีกอล์ฟอยู่สนามเดียวซ้ำไปซ้ำมา..ไม่เบื่อหรือ !!-- จริงๆแล้วทุกครั้งสถานการณ์มันไม่เคยเหมือนเดิม “และนั่น คือ ความท้าทาย ของการลงทุน”

ป๋ากึ้ง : คุณตีกอล์ฟเหรอ !! แต่ผมเซียนจักรยานผาดโผนนะ ..อิ อิ ---ผมขอเสริมนะ “คนเราส่วนใหญ่ชอบมองว่า การลงทุนมันเรียนได้จากการอ่านตำรา แต่ผมบอกเลยว่า “คิดผิด!!” คุณคิดดูนะ ไม่ว่าจะเป็นกอล์ฟ หรือ ปั่นจักรยาน การที่คุณจะเป็นเซียนได้ มันไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณรู้ทฤษฎีมากน้อยแค่ไหน …มันอยู่ที่ “การฝึกฝนต่างหาก” แต่แปลกมากนะ ที่คนส่วนใหญ่พอ ได้อ่านหนังสือหน่อย หรือ รู้ทฤษฎี อะไรนิดหน่อย ก็นึกว่า คุณเก่งเป็นเซียนแล้ว (จริงๆ มันไม่ใช่เลย)
วันแรกที่คุณ ขึ้นขี่จักรยานจริง ..นั่นแหละ “นับหนึ่ง” .. คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม !!

ภาววิทย์ : ใช่ๆ เห็นด้วยๆ ..ว่าต่อเลย ป๋ากึ้ง!!

ป๋า กึ้ง : “จบแล้ว !!” ไปนอนดีกว่า..อิ อิ (พูดเล่น ๆ) สิ่งที่อยากจะพูดคือ มันถึงเวลาแล้วที่ คนทุกคนจะต้องเข้ามาศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง .. “เห็นด้วยไหม ภาววิทย์!!”-------(อ่านต่อตอนที่ 5..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!)......เข้าสู่ ตอนที่ 3


ป๋ากึ้ง : “ขำขำ” อย่าคิดมาก ..ประเด็นต่อไปเลย “มีคนพูดถึงในหนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” ว่ามีบทนึง พูดถึง การเล่น หุ้นปั่นที่เสี่ยงน้อย …ภาววิทย์ช่วยอธิบายหน่อย

ภาววิทย์ : จริงๆประเด็นมัน ไม่ได้ “ Insider หรือ วิชามาร อะไรหรอกครับ!!” คือ ปัจจุบันนี้เจ้ามือเขาฉลาดขึ้น ถ้าพวกเรารายย่อยตามไม่ทัน “ผมว่าซวยแน่!!” …วันนี้ “หุ้นปั่น” มันไม่ใช่หุ้นไม่มีพื้นฐานอีกต่อไป มันกลับเป็นหุ้นที่ พื้นฐานดี ราคาถูก ปันผลก็สูง (คุณคิดให้ดี.. แล้วอย่างนี้ คุณควรขอบใจคนปั่นหรือเปล่า --เพราะทำให้คนมองเห็นหุ้นดี ..จริงป๊ะ!!) วันนี้ตลาดบ้านเรามีหุ้นดีราคาถูก เยอะมาก แต่ราคาไม่เคยวิ่งไปไหน ...วันนี้นักปั่นเข้ามา “คุณต้องขอบคุณเขา!!” เพราะมัน Win-Win คือ พูดง่ายๆ ถ้าปั่นไม่ขึ้น ก็ไม่เดือดร้อน รับปันผลอย่างเดียว ยังดีกว่าเงินฝากไม่รู้กี่เท่า (วันนี้ถ้าใครเอาเงินฝากธนาคาร ผมว่าคุณใส่ตุ่มแล้วฝังไว้ใต้บ้าน .. “ค่าเท่ากัน” ดอกเบี้ยเกือบจะเป็นศูนย์ ผมถามหน่อย “ฝากทำไม”

วันนี้คุณถามผมว่า “หุ้นดี ไม่ผันผวน ความเสี่ยงต่ำ มีไหม” ผมบอกเลย กองอยู่เต็มตลาด .. อย่างหุ้นที่ P/BV ต่ำกว่าหนึ่ง และปันผลดี มันบอกโดยนัยแล้วว่า ไม่มีคนเล่น ดังนั้น ราคามันไม่วิ่งผันผวน ดังนั้น คุณถือนิ่งๆรับปันผลสบายๆ ..ที่ต้องดูอย่างเดียวคือ เจ้าของกิจการ(ผู้ถือหุ้นรายใหญ่) ดูนิสัย ถ้าเขานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับ ผู้ถือหุ้น (เติบโต+ ปันผล) “คุณซื้อได้เลย”
อย่างผมบริหาร port ให้ทางบ้าน ผมไม่ชอบเสี่ยง ผมไม่เข้าไม่ออก คือ เข้าแล้วนิ่งรับปันผลอย่างเดียว ไอ้ราคาที่ขึ้น Capital Gain ผมมองว่าเป็นโชค

อย่างตัวผมเอง เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ ผมใส่เข้าตลาดหุ้น ผมไม่ซื้อ RMF/LTF ผมมองว่าถึงลดภาษี 30% ผมก็ยังมองว่าไม่คุ้ม ผมบริหารเองคุ้มกว่า “ดังนั้นผมไม่ซื้อ..ฮ่า ฮ่า” ทุกวันนี้ผมซื้อตลอดไม่มีการขาย ตลาดตั้งแต่ Bottom ปี 2008 เป็นต้นมา มันเป็นตลาดของผู้ซื้อ ขายไปก็ขายของถูก “จะขายหมูไปทำไม” …คุณดูให้ดีนะ ตั้งแต่ Bottom เป็นต้นมา คนที่กำไรที่สุดคือ คนที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้ขาย …พวกกองทุน พวกต่างชาติ ไม่รู้เล่นบ้าอะไรกัน (บอกเลย มั่ว!!) ทุกรอบที่ทั้งกองทุน ทั้งต่างชาติ ขาย เขาซื้อแพงขึ้นทุกรอบ แต่ก็โทษเขาไม่ได้ เพราะ พวกเขาวัด Performance เป็น Quarter ทำให้เขาต้องโชว์กำไร ..แต่ผมไม่ต้อง ผมวัดท้ายสุดเลย เอาแบบ Buffet คือ ที่เขาเหนือกว่า กองทุนทั่วไป เพราะเขาไม่ได้บริหาร Port แบบกองทุน ..เขาเล่นแบบ “คนมีเงินนอนต่างหาก”

ให้ผมฟันธงนะ ว่าบริหารอย่างไร จึงจะกำไรที่สุด “ก็คือ ซื้อตอนตลาดถูกๆ และขายตอนตลาดแพงๆ” (สังเกตุไหมครับว่า ผมไม่ได้พูดว่าซื้อถูกที่สุด แล้วขายแพงที่สุด ..ไม่ใช่!! เพราะมันเป็นไปไม่ได้) คนทั่วไปบางทีดีใจ ซื้อของมาถูก แต่พอขายดันขายถูกว่าที่ซื้อ (อันนี้จริงๆแล้ว มันหมายความว่าคุณซื้อแพงรึเปล่า!!)

วันนี้หลายคนถามผม “ตลาดแพงหรือยัง” ผมมองเทียบเงินฝาก ปัจจุบันเงินฝากให้ดอกเบี้ย “ถูกเป็นขี้” ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ตอนนี้ซื้อหุ้น รับแค่ Dividend อย่างเดียว ได้มากกว่า ไม่รู้กี่เท่า (มนุษย์ เราไม่ได้โง่นะครับ ---วันนี้ผมมองเห็นโอกาสตรงนี้ แต่อีกหน่อยคนส่วนใหญ่ก็ต้องเห็น (คำถามคือ ถ้าคนส่วนใหญ่เห็น แล้วโยกเงินมาทำอย่างผม --ราคาหุ้นมันก็จะขึ้น ) และเมื่อถึงเวลานั้น ถ้าหุ้นมันขึ้น พอราคามันแพง มันก็คงเข้าช่วงเศรษฐกิจดีแล้ว (ถ้าเศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยเงินฝากก็สูง ) ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง ผมก็ขายหุ้นที่ราคา “ยอดดอย” มาวางที่เงินฝาก ..จากนั้นก็รอให้ Bubble มันแตก ผมก็ค่อยถอนจากเงินฝาก เอาไปใส่หุ้นเหมือนเดิม

เห็นไหมล่ะครับว่า จริงๆ การเล่นหุ้นให้กำไรมันไม่ได้ยาก มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เพราะคุณจะต้องรอ Cycle ขาขึ้นขาลง ซึ่งสมัยก่อนหนึ่ง Cycle อาจกินเวลา 20 ปี เดี๋ยวนี้ 10 ปี Cycle ก็เปลี่ยนแล้ว …ลองคิดซิครับ ยิ่งระบบทุนนิยม มีการเคลื่อนย้ายเงินได้อย่างง่ายดาย ย่อมทำให้ Cycle ในอนาคตสั้นลงเรื่อยๆ …อีกหน่อย 5 ปี หรือน้อยกว่านั้น ก็เปลี่ยน Cycle แล้ว
คุณคิดดูนะ นักธุรกิจพอเข้า Cycle ขาลง ทีไร “เหงื่อแตก!!”

(ข้อ จำกัดของเจ้าของ คือ คุณจะมาซื้อๆขายๆหุ้นตัวเอง มีหวังโดนข้อหา Insider ได้ไปนอนในคุก!!) …แต่อย่างผม ในฐานะนักลงทุน ผมไม่มีข้อจำกัดตรงนั้น ดังนั้น ผมสามารถซื้อและขายแบบเทหมด Port สวน Cycle …ลองนึกซิครับว่า กลายเป็นว่าทุกๆ Down Cycle นักลงทุนจะรวยขึ้น ขณะที่เจ้าของกลับจนลง …ดังนั้น ถ้าผมจะตั้งกองทุนมาสักกอง แล้วอาศัย Cycle (ที่อนาคตจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ) ผมอาจสามารถ Take over กิจการต่างๆได้ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี (ระวังไว้ บริษัทยักษ์ ใหญ่ที่ชอบ เอาเปรียบรายย่อย ..ระวังรายย่อยจะรวมตัวซื้อคุณไปเลย..หุ หุ)

ต่อไปโลก มันไม่ได้ขึ้นกับว่า คุณใหญ่แล้วคุณจะได้เปรียบ มันอยู่ที่ใคร “คิดเป็น คนนั้นก็ชนะ” ..(ทุน) มันจะวิ่งเข้าหา จุดที่ได้เปรียบเสมอ ..ทุกคนอยากลงทุนกับผู้ชนะ “วันนี้ประเด็นของ The winner take all มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ” ..เกมการแข่งขันในโลกธุรกิจ มันกำลังเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถามว่า ถ้าคุณไม่ปรับตัว “คุณจะรอดไหม!!”

เดี๋ยวนี้ บริษัท จากโรงรถ เอาชนะยักษ์ใหญ่อย่างสบาย “ที่ Bill Gates เคยกลัวว่า วันนึง จะมีบริษัทจากโรงรถ เข้ามาแข่งกับ Microsoft” วันนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้ว ทุกวันนี้ Google ใช้เวลาไม่กี่ปี ก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกท้าทาย Microsoft (เห็นไหมล่ะครับ สิ่งที่ Bill Gates กลัวมันได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว)

คู่แข่งของคุณ มันไม่ใช่ เพื่อนบ้าน หรือ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของคุณอีกต่อไป มันรวมถึง เด็กตาดำๆในจีน และ อินเดีย ที่ก้าวขึ้นมาแย่งงาน จากคุณไป!! --วันนี้คนอเมริกาขำไม่ออกแล้ว เพราะงาน วิศวะ และ IT ถูกคนอินเดียแย่งทำ ..งานการผลิต ก็โดนคนจีนแย่งไปทำ …วันนี้อเมริกาเองผู้สร้าง Internet และ Technology การ Outsource --“กำลังเมาตด ที่ตัวเองสร้าง” “อบอวนอยู่ในห้องแคบๆ…เหม็น!!”

หลาย คนบอกกลัวอเมริกา!! อเมริกาน่ากลัว ..ผมว่า “มันหมูมากกว่า” วันนี้ คนที่คุณต้องกลัวคือ นักลงทุนต่างหาก เพราะนักลงทุน นั่งอยู่เหนือ Cycle และทำกำไร จากทุกวิกฤต “นี่ซิ..น่ากลัวจริง”

ป๋ากึ้ง : และนี่ก็คือ เหตุผลที่ว่า คุณควรจะเป็นนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพใดก็ตาม ..การเล่นหุ้นที่กำไร ไม่จำเป็นต้อง วิ่งซื้อขาย ตามคนอื่นให้เหนื่อย เพราะถ้าคุณเข้าใจภาพใหญ่ คุณแทบจะไม่ต้องทำอะไรมากมาย กับความผันผวนของตลาดเลย (สุดยอดจริงๆ!!)-------(อ่านต่อตอนที่ 4..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) ....ตอนที่ 2



ป๋ากึ้ง : ตอนนี้มองตลาดหุ้นแล้วมึนตึ๊บ ทะลุ 800 จุดไปชิวๆ ทั้งที่ Fund Flow ยังนอนตีพุงอยู่นอกตลาด .. ช่วงนี้ขาใหญ่บ้านเราก็ลากเอา ลากเอา “สงสัยอยู่ว่า เขาจะลากรายย่อยไปเชือดชะมั้ง!!” ..—ภาววิทย์ -คิดว่ายังไง

ภาว วิทย์ : ผมมองเป็นสองประเด็นนะ “ไม่ขึ้นก็ตก..หุ หุ” (ตอบแบบกำปั้นทุบดิน โคตร…!!) --คือส่วนตัวผมมองว่า วันนี้ตลาดถูกมากๆ (ผมไม่ได้หมายความว่า จะไม่มี Double Dip นะ เพราะถ้าดูทาง Technical ตอนนี้ ยังไงระยะสั้น ใครๆก็มองว่าต้องมี Correction แน่นอน) ---จริงหรือ!! (ไม่ได้ท้าทาย ..เพราะจริงๆ ผมมองว่า ที่บอกๆกันว่าจะ Correction แล้วถ้าเกิด Fund Flow มันเปลี่ยนใจ “รวมใจไหลเข้ามาล่ะ!!” นักวิเคราะห์จะไม่ปากกาหักอีกกี่แท่ง ….ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตลาดจะ Correction หรือไม่ ที่สำคัญผมต้อง ถามกลับว่า “คุณเล่นหุ้นแบบไหนต่างหาก”

ป๋ากึ้ง : ทำไมล่ะ!! ช่วยแถลงไข ด่วน!!

ภาว วิทย์ : โอเค! ยกตัวอย่างผม บริหาร Port ให้ครอบครัว ผมต้องตีโจทย์ตรงนี้ของคุณแม่ว่า (หนึ่ง) ไม่ต้องการเสี่ยง (สอง) ต้องให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก … “เมื่อผมรู้ว่าก้อนนี้ผมคือเงินนอน ดังนั้นภารกิจ การจะทำกำไรเหนือกว่าเงินฝาก “ร้อยเท่า” ของผมจึงเกิดขึ้น” --- หุ้นที่สามารถเล่นได้ ต้องเป็น Blue chip ที่ “เจ๊งไม่ได้”

..ต้อง ดูว่า กิจการมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ---จุดนี้หมายความว่า Book Value จะเติบโตตาม GDP ….จากนั้นผมก็ดูว่า P/BV ต่ำกว่า 1 (เพราะมันหมายความว่า ผมซื้อหุ้นถูกกว่าที่เจ้าของลงทุน แสดงว่า “มันถูก” ) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกตัวต้องต่ำกว่า 1 เท่า อาจสูงกว่านิดหน่อยแต่ต้องไม่มาก ….จากนั้น ผมก็มอง Dividend ต้องสูงกว่าเงินฝาก (เมื่อเลือกได้ ก็เสร็จภารกิจ ซื้อแล้วเก็บ Port ไปเลย ..ทำให้ผมไม่ต้องมาลุ้นว่า มันจะ Double Dip หรือ Correction หรือไม่ ..เพราะมันไม่เกี่ยวกับผมเลย)

ป๋ากึ้ง : อ้าว!! แล้วถ้าตลาดมัน Dip ลงไป “ราคาหุ้นที่ซื้อมาตกลงไปเยอะ” ภาววิทย์จะทำอย่างไร

ภาว วิทย์ : “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร” แต่ถ้ามันตก แล้วผมพอจะมีเงิน ผมอาจช้อนเพิ่ม ..เพราะผมแน่ใจว่า “หุ้นที่ผมซื้อมันราคาถูกอยู่แล้ว ..คือยิ่ง ถ้าถูกกว่านี้ มันก็ยิ่งน่าซื้อ” ---ผมว่านะ “คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด” นึกว่าตัวเอง สามารถซื้อหุ้นได้ถูกที่สุด หรือสามารถขายได้แพงที่สุด ----ทฤษฎีนี้เขาเรียก Timing Market ในระยะยาว “คุณนับคนได้ ว่าทั้งโลกมีคนที่ทำวิธีนี้แล้วชนะตลาด ผมจะไปกราบขอเป็นศิษย์…หุ หุ” (ย้อเย่น!! แต่ในความเป็นจริง ในระยะสั้นคุณอาจโชคดี แต่ในระยะยาว ไม่มีใครโชคดีทุกครั้ง --ผมถามกลับหน่อย ถ้าหากคุณโชคดีทุกครั้ง แต่ครั้งสุดท้าย คุณโชคร้าย “เสียทั้งหมดที่เคยกำไรมา”(แนวคิดของ Black Swan) –“อย่างนี้จะเรียกว่าคุณ สำเร็จ หรือ ล้มเหลว ล่ะ!!”

ดังนั้น ประเด็นที่ป๋ากึ้งถามว่า ถ้าหุ้นที่ซื้อตก จะทำอย่างไร ผมว่ามันตอบตั้งแต่ต้นแล้ว “เพราะที่จริง ถ้าผิด มันก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว” คือ คุณต้องเชื่อมั่นในการตัดสินใจ คุณถึงจะสามารถกินปลาใหญ่ได้ แต่ถ้าหวังตอดแบบเล็กๆ นั่นมันก็อีกแนวทางในการเล่นหุ้น เพราะมันคนละสไตล์เลย--- การซื้อหุ้นมันถึงกำหนดความสำเร็จตั้งแต่คุณซื้อแล้ว!!

ป๋ากึ้ง : แต่ถ้าซื้อได้ “ถูก” แต่คุณกลับ “ขายหมู” ล่ะ

ภาว วิทย์ : หุ…หุ.. ประเด็นนี้น่าสนใจ “แต่ขายหมู มันหมายถึงคุณกำไรนะ (ดีกว่าติดดอย) …แต่ผมกลับชอบซื้อหมูมากกว่า…หุ หุ” ผมว่า “มนุษย์เรามั่นใจตัวเองมากเกินไป..จึงทำให้พลาดง่าย” เมื่อใดที่คุณมองว่าตัวเองเก่ง เมื่อนั้น ความหายนะมันกำลังนั่งอยู่ข้างๆคุณนะ (เหมือนหนังผี!! น่ะ สยองงงง…) ดังนั้น วันใดที่คุณมั่นใจสุดขีด ผมว่าวันนั้นคุณจำคำพูดผมไว้ ..จากนั้น แบ่ง Port และทำสวนกับความ มั่นใจสุดขีดนั้น --“ผมว่าผลลัพธ์ มันจะทำให้คุณคาดไม่ถึง”

ป๋ากึ้ง : ภาววิทย์ !! ผมว่ามันชักจะนอกเรื่องแล้วนะ …กั๊ก กั๊ก เอาคำตอบที่ตรงประเด็น “สรุปว่า ภาววิทย์ มองว่าวันนี้ตลาดถูก ใช่ไหม”

ภาววิทย์ : ครับ..แต่!! มันไม่ใช่ทุกตัวถูก “ต้องเลือก” อย่างตลาดบ้านเราตั้งแต่ปี 1994 มายังอยู่ใน Trend ขาลงอยู่เลย แต่คุณ ดูซิ ทำไม ดร.นิเวศน์ ทำเงิน จาก port ไม่กี่สิบล้านในปี 1998 วันนี้ port แก “พันล้านแล้ว!!” ถ้าคุณมองแต่ SET คุณจะเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นไหมล่ะ!!

ป๋ากึ้ง : โอโห!! เจ๋งจริงๆ

ภาววิทย์ : หุ ..หุ ..ขอบคุณมาก

ป๋ากึ้ง : ผมหมายถึง ดร.นิเวศน์ เก่ง ไม่ใช่คุณ …ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ภาววิทย์ : ……..(จุ้งเลย!!) -------(อ่านต่อตอนที่ 3..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

แฉบรรยากาศสัมมนา S2M (พัทยา)..กับ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน..(ตอนที่ 1)”



Theme สัมมนาคราวนี้เรียกได้ว่า “เยี่ยม!!” มันคือบรรยากาศของ “ทะเลหุ้น” นั่งสัมมนากันท่ามกลางทะเลติดปราสาทสัจธรรม (แต่ทุกคน Focus ในเนื้อหาที่เข้มข้น จนไม่มีเวลาไปดูปราสาทสัจธรรม..หุ หุ(กลบหมด!!)..งานวันนี้ S2M แอบเปิดตัวหนังสือเล่มแรกของทั้ง S2M และ ภาววิทย์ เรียกได้ว่า “ต่างคนต่างดิบ..พี่ Looking แกอยากเป็นสุกี้ ..ภาววิทย์ เลยต้องเป็น สมเกียรติ มอง Trend ..กำลังหา บอย อยู่ ใครรู้ตัวว่าเป็น บอย--ช่วยแสดงตัวด่วน!! ..”

งานนี้เรียกได้ว่า ป๋ากิ้ง แกยืนยิ้มตลอดงาน (เมาน่ะ!! ) ม่ายใช่!!..ล้อเล่น ..จริงๆคือ ป๋ากึ้งแกภูมิใจ ที่สังคม Online ที่ร่วมแบ่งปันเล็กๆแห่งนี้ กำลังก้าวขึ้นมาอีกขั้น …จาก Web Board เล็กๆ (ที่จำนวนคนดูไม่เล็ก) วันนี้เราได้ก้าวเข้ามาสู่การผลิต หนังสือ ที่จะเน้นในเรื่องคุณภาพเนื้อหา (คือเล่มแรกที่ต้องออกตัวเล็กน้อย เพราะใหม่ทั้ง S2M ใหม่ทั้งคนเขียน จึงอาจมีการผิดพลาดในเรื่องตัวสะกดบ้าง..กราบขออภัยมากๆครับ --“ขอให้คิดเสียว่า มันเป็น Original ดิบๆ คล้ายๆกับ Modern Dog ชุดแรกละกันครับ..หุ หุ”

ก็ขอแย้มเลยว่า จากนี้ไป S2M จะเริ่มผลิตงานคุณภาพออกมาเรื่อยๆ ทั้งจาก ป๋ากึ้งเอง(ทุกคนอดใจรอนิด..มาแน่!!) ผลงานจากคุณหมอ(ทุกๆท่านที่ สร้างความรู้แบบไม่หวังผลตอบแทน) …อย่างผมเอง ผมไม่ได้มองว่า การเขียนหนังสือมันคือการเป็นนักเขียนเท่านั้น หากแต่มันเป็นความภูมิใจ ของคนถ่ายทอด รวมถึงความสุขของผู้ได้รับ “ผมว่ามันเป็นอะไรที่อมตะนะ”

วันนี้เราได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ (โดยเฉพาะ Gen Y) ที่เริ่มศึกษาหุ้นกันอย่างจริงจัง …ด้วยความสามารถ และการเป็นทายาทตัวจริงของ Baby Boomer --ผมไม่สงสัยเลยว่า จากนี้ไปตำนานของตลาดหุ้นกำลังจะถูกจารึกหน้าใหม่ (เอาเป็นว่า S2M กับ ป๋ากึ้ง มองเห็น Trend นี้เช่นกัน จึงอยากรับสมัครผู้ให้ และผู้มีความรู้ทั้งหลายให้เข้ามาร่วมแบ่งบัน ทั้งใน Web board หรือ กระทั่งการสร้างหนังสือ หรือ สื่ออื่นๆตามถนัดและจินตนาการ)

กลับมาที่บรรยากาศสัมมนา เริ่มด้วยภาพกว้าง (กว้างจริงๆ) จาก ป๋ากึ้ง และ ภาววิทย์
เรา เริ่มด้วยการเอา Buffet “มาชำแหละ!!” คือเราถามกันไปกันมาว่า แท้จริงแล้ว Warren Buffet (นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก) เขามีจุดแข็งที่อะไร

ป๋ากึ้ง : ภาววิทย์!! ไหนๆ ก็จะ แกะรอยหยักสมอง Buffet แล้ว …บอกหน่อยว่า Buffet แจ๋วที่ตรงไหน?

ภาววิทย์ : “ความอึด!!”กั๊บ

ป๋ากึ้ง : “อะไร(ของมึงวะ) ความอึด” ไหนอธิบายซิ

ภาว วิทย์ : “จุดเด่นของ Buffet คือเขาไม่ได้เก่งอะไรมากมาย” เพียงแต่เขามองภาพใหญ่กว่าคนทั่วไป อย่างในเฉพาะห้องสัมมนาถ้าพูดว่าลงทุน 1 ปี ก็เรียกว่ายาวแล้ว ..แต่นี่ Buffet มองที 30 ปี !!--พอลากเอากราฟความผันผวนของคนทั่วไป จะเห็นได้ว่า ผันผวนแกว่งยิ่งกว่าเข้าบ่อน ..แต่พอลาก กราฟของ Buffet มาดู มันกลับเป็น กราฟขึ้นอย่างเรียบๆ ---แต่จริงๆก็อย่างที่บอก เพราะเขามองภาพใหญ่มาก เวลาเล่นหุ้นก็เหมือนผู้ใหญ่แข่งกับเด็ก “คุณว่าใครจะชนะล่ะ!!”

ป๋า กึ้ง : “กั๊ก ..กั๊ก เหมือน “เล่นโก๊ะล่ะซิ” ท่าน ก่อศักดิ์ กล่าวว่า “ชนะเพราะไม่คิดเอาชนะ” การมุ่งจะเผด็จศึกอย่างรีบเร่ง ย่อมแพ้ในสมรภูมิโก๊ะอย่างง่ายดาย (ฮึม!! เหนือชั้นจริงๆ ) …แต่ !!

ภาววิทย์ : อย่างหุ้น Washington post ของ Buffet พอซื้อปั๊บ ปีต่อมาหุ้นตกไป ครึ่งนึง (ถ้าเป็นมนุษย์ปกติ ผมว่า ตกใจขายทิ้งไปแล้ว..แต่ Buffet ไม่ขาย) จากนั้น 30 ปี หุ้นวิ่งขึ้นจากที่เขาซื้อ 100 เท่า (คุณลองนึกดูว่า ไม่เรียก “อึด” จะเรียกอะไร อย่าง เราๆ ขึ้นไม่ต้องถึงเท่า ก็ขายกันไปหมดแล้ว..จริงไหม!!)…ดังนั้น ประเด็นจริงๆ คือ Buffet เขาไม่ได้ดูราคาแต่เขาซื้อกิจการ -----เพราะถ้ามองราคา “ถามหน่อยขึ้นไปสัก 1 เท่า …ก็จะทนไม่ไหวแล้ว!!”

ป๋ากึ้ง : อย่างเรื่องทองมองยังไง (เห็นในหนังสือ “แกะรอยหยัก”ก็แตะเรื่องทองด้วยนี่)

ภาว วิทย์ : “ทอง” จริงๆมันคือ Commodity อย่างนึงที่วิ่งตาม Demand / Supply ตอนนี้ค่าเงินไม่ว่าจะอเมริกาหรือยุโรป ดูยังไงระยะยาวมีแต่ลง “นักลงทุนก็เลยวิ่งหาทอง” Demand มันมาก ราคามันเลยขึ้น --ถ้าถามว่ามันจะขึ้นต่อไหม ผมว่า มันต้องขึ้นต่อ แต่ประเด็นคือ ตอนนี้มัน Bubble อยู่ (ถ้าถามว่ามัน Bubble ไปถึงไหน --คุณดู Down jone คือช่วงทอง Bubble จริงๆ มันเท่า Dow “ตอนนี้ Dow หมื่นกว่าจุด แต่ทองพันกว่า ..เหลือ Roomอีกเยอะ --“แต่!!”)ผมไม่ได้บอกว่า Bubble มันจะดันราคาทองไปถึงไหน ..ถ้ารู้ก็รวยกันหมดแล้ว!! แต่เราไม่รู้ดังนั้นต้องช่างน้ำหนักดูเอง (วันนี้ถ้าถามว่าผมแนะให้ซื้อทอง ผมไม่แนะนำ แต่คนที่ซื้ออยู่แล้ว ผมก็แนะให้ถือต่อ และไปขายตอนที่ เศรษฐกิจดี)

ป๋ากึ้ง : แล้ว Commodity ตอนนี้ที่มันพุ่งๆ นี่ตั้งแต่ราคาน้ำมัน, น้ำตาล, Wheats ยันเหล็ก มันเกี่ยวอย่างไรกับหุ้น

ภาว วิทย์ : Commodity จริงๆมันคือ Cost ของกิจการ คือ ถ้า Commodity แพง เช่น น้ำตาลแพง คนผลิตขนม ผลิตน้ำหวาน ก็เหนื่อย ---ดังนั้น ถ้า Commodity ขึ้น หุ้นก็มักจะแย่ (แต่รอบนี้มันแปลก เนื่องจาก หุ้นมันแย่ แต่เงินสดมันกลับแย่กว่า ) คือ ถ้าไอ้กัน มันขีนปล่อยให้เงินมันแข็ง มีหวังคน Default บ้านหมด “ตายทั้งประเทศ” ดังนั้น หลับตาฝันธง ยังไง ค่าเงินดอลล่าห์ก็ต้องอ่อน (อ่อนในที่นี้คือ อ่อนเมื่อเทียบกับ Asset นะ) เพราะมูลค่า Us เทียบ Asset มันหายไปเกือบ 90% ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา(คิดดูละกัน!!)

ป๋ากึ้ง : และ Pat มองอะไรตอนนี้ ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ

ภาว วิทย์ : ผมมองประชากรนะ ..ตั้งแต่ทำงานร่วมกับ Consult ที่เข้ามารื้อ ธนาคารกรุงเทพปีที่ผ่านมา มันเริ่มจากประชากรทั้งสิ้น คือ อย่าง Baby Boomer เคย Dominate ตลาดเนื่องจากกลุ่มนี้ คนเยอะ ..ดังนั้นไม่ว่า Boomer จะอยู่ในจังหวะใดของชีวิต ตลาดมันก็โป่ง Bubble!!..อย่างตอน Boomer เริ่มทำงาน ราคาบ้านที่ดินก็พุ่ง เพราะBoomer ทุกคนอยากซื้อบ้าน ซื้อหุ้น -- Demand มันมาราคามันก็เลยวิ่งตลอดปี 1990s --มาตอนนี้ Boomer จะเกษียณก็เลยขาย Asset กิน….เตรียมเกษียณ ..พอขายพร้อมกันทั้งบ้านทั้งหุ้น ก็กลายเป็นที่มาของ Sub prime
วันนี้หลายคนมองว่า “เราซวยแน่” เพราะไม่มีกลุ่ม Gen ไหนที่ใหญ่เท่า Boomer ดังนั้น “ Demand อาจไม่กลับมาอีก” แต่ทุกคนลืมนึกไปว่า Gen Y “แดกเก่งขนาดไหน” นอกจาก Gen Y จะเป็นทายาทตัวจริง ผู้สืบทอดกิจการต่อจากเจ้าสัวยุค Boomer …Gen Y เป็นกลุ่มที่บริโภคนิยมสุดขีด คุณดูอย่าง Major โรงหนังรวยก็เพราะ ช่วงนั้น Gen Y กำลังอยู่มหาวิทยาลัยก็โดดเรียนมาดูหนัง “Demand มากมันก็ Boom”
วันนี้ Gen Y เริ่มทำงาน ก็อยากซื้อบ้าน “คุณดูซิ Major ก็เปิด MJD มาจับ Gen Y” รวยอีกรวย เอามันทุกรอบ…
ผม มองไปข้างหน้าอีก พอ Gen Y เริ่มมีบ้านมีงานดี แล้วพอเงินเดือนสูงขึ้น ..เมื่อนั้นเขาก็จะเริ่มลงทุน “ Cycle มันก็จะเหมือน Boomer สมัยก่อน” ดังนั้น ถ้าคุณมองออก คุณก็ซื้อของได้ถูก --อย่างผมมองว่าในไม่เกิน 5 ปี คุณอาจเห็น Asian Miracle 2 ด้วยซ้ำ (เอาว่า ลึกๆ คุณไปอ่านในหนังสือ “แกะรอยหยักของผมต่อ”…หุ หุ)

ป๋ากึ้ง : แล้วภาววิทย์ไม่สนใจซื้ีอบ้านเหมือนคนอื่นเหรอ

ภาว วิทย์ : อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ที่ว่า “ซื้อบ้าน” คุณซื้ออะไรกันแน่ ..วันนี้บ้าน 20 ล้าน เนื้อที่เท่าแมวดิ้น 50 ตร.ว. คุณลองนึกดู บ้านอีก 30 ปี คุณอาจทุบสร้างใหม่ ..กลายเป็นว่า คุณซื้อที่ 50 ตร.ว. 20 ล้าน--“คุ้มไหม!!” ..จริงๆผมไม่ได้ Anti “การลงทุนมันดีทั้งนั้น” เพียงแต่คุณต้องมองให้ออกว่า คุณลงทุนในอะไรกันแน่!!”
วันนี้ผมว่า คนเราชอบเดินตามกัน แต่ลืมไปว่า เวลาคุณเดินตามคนอื่น “คุณจะมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้า” ถ้าเขาเดินพาคุณไปลงเหว ก็ตายหมู่ ..แต่อย่างผม ผมเดินอีกด้าน (หลายคนบอก..มึงบ้า!!) แต่คุณรู้ไหม ถึงแม้บ้า แต่ผมมองเห็นทางเดินข้างหน้า “ยังไงผมก็ไม่เดินลงเหวแน่” จริงไหม!!

เอาเป็นว่า ช่วงที่คุยกัน ระหว่าง ป๋ากึ้ง กับ ภาววิทย์ ก็ประมาณว่า ภาพใหญ่ๆ มองต่าง สร้างอีกมุมมอง แล้วหมุนมันให้คุณดู “มันก็ไม่ต่างกับ Buffet ที่นั่งมองอยู่ด้านนอกเหมือน Coach ฟุตบอล” คือ คุณไม่ได้ไปตะลุมบอลเหมือนนักเตะคนอื่น คุณก็เลยมองเห็น Trend และ “คุณก็เลยสามารถทำเงินจากมันได้”
เอาเป็นว่า ไปอ่านต่อใน “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet ” กันได้แล้วครับ… คุ้มมาก(รึเปล่า).. ฮ่า ฮ่า..